พาดหัวข่าวไม่ชัดอาจทำเอาหลายคนเข้าใจผิดว่า ห้ามผลิดเจลแอลกอฮอล์ ทั้งๆ ที่ ต้องการให้ประชาชนได้ใช้ผลิตภัณฑ์เจลที่มีแอลกอฮอล์ไม่น้อยกว่า 70% ที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด ฆ่าเชื้อได้ ลดขั้นตอนขออนุญาตเพราะเปลี่ยนจากเครื่องมือแพทย์เป็นเครื่องสำอาง ด
การแข่งขันการด้วยเวลาการนำเสนอข่าว และพื้นที่จำกัดของการเขียนหัวข้อข่าวที่เน้นให้เห็นข้อความตัวโตๆ และน่าสนใจ อาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดได้
กระทวงสาธารณสุขออกมาตรการโดยเร่งด่วนห้ามผลิต นำเข้า หรือขายแอลกอฮอล์เจลที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์น้อยกว่า 70% โดยปริมาตร ในท้องตลาด เพื่อหวังให้ผลิตแอลกอฮอล์ความเข้มข้น 70% ที่ฆ่าเชื้อได้จริง และให้เป็นเครื่องสำอางแทนจะเป็นเครื่องมือแพทย์ตามประกาศเดิมซึ่งจะมีผลในวันที่ 11 มีนาคม 2563



กรณีราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดลักษณะของเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ ที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือขาย พ.ศ. 2563 ซึ่งลงนามโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 นั้น พาดหัวข่าวหลายสำนักทำเอาคนอ่านที่ไม่ได้อ่านรายละเอียดทั้งหมดเข้าใจผิดได้ง่าย หลายคนเข้าใจผิดว่า ประกาศดังกล่าวเป็นการห้ามไม่ให้ผลิตเจลแอลกอฮอล์ ทั้งๆ ที่ประกาศดังกล่าวเป็นการแก้ไขประกาศเดิมที่กำหนดให้ประกาศให้เจลกอฮอล์ เป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องขออนุญาตผลิต และจะมีผลในวันที่ 11 มีนาคม 2563 (อ่านประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ พ.ศ. ๒๕๖๒ ลงวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ) ซึ่งประกาศดังกล่าวอาจทำให้คนที่ผลิตเจลแอลกอฮอล์ ใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 อยู่ได้รับผลกระทบ ในขณะที่เจลแอลกอฮอล์ก็ยังขาดตลาด ประกาศดังกล่าวก็เป็นการบังคับให้ผู้ผลิตผลิตเแอลกอฮอล์ ได้ดำเนินการสะดวกขึ้น ไม่ต้องถูกควบคุมให้ขออนุญาติผลิตตามประกาศเดิม
รายละเอียดของประกาศมีการยกเลิกประกาศเดิมก่อน ตามประกาศเรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ เพื่อสุชภาพสำหรับมือ พ.ศ. 2562 ตามรายละเอียดด้านล่าง

รายละเอียดของประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดลักษณะของเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ ที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือขาย พ.ศ. 2563 ตามรายละเอียดด้านล่าง

หากเราได้ศึกษาที่มาของประกาศเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 นั้นพบว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เคยออกประกาศชี้แจง “จากเครื่องสำอางเป็นเครื่องมือแพทย์” เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2563 มีใจความว่า
ระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ พ.ศ. 2562 ซึ่งมีประเด็นสำคัญ คือ การเปลี่ยนสถานะผลิตภัณฑ์จากเครื่องสำอางเป็นเครื่องมือแพทย์ และกระบวนการในการเปลี่ยนผ่านจากเครื่องสำอางเป็นเครื่องมือแพทย์มีขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาจดทะเบียนสถานที่ และการขึ้นทะเบีบนผลิตภัณฑ์ ประกอบกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลน เนื่องจากเป็นที่ต้องการของประชาชน
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ตระหนักถึงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และไม่ต้องการให้ประชาชนเกิดความตระหนกกรณีขาดแคลนผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ หรือ แอลกอฮอล์เจล ในท้องตลาด จึงดำเนินการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ พ.ศ. 2562 เพื่อให้แอลกอฮอล์เจลยังคงสถานะเป็นเครื่องสำอางเหมือนเดิมต่อไป โดยไม่ต้องมาดำเนินการปรับเปลี่ยนสถานะเป็นเครื่องมือแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข มุ่งมั่นให้ประชาชนได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด จึงจะดำเนินการออกมาตรการโดยเร่งด่วนในการห้ามผลิต นำเข้า หรือขายแอลกอฮอล์เจลที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์น้อยกว่า 70% โดยปริมาตร ในท้องตลาด
ก่อนจะมีประกาศในวันที่ 9 มีนาคม 2563 เว็บข่าว mgronline (อย.ฉีกประกาศ “เจลล้างมือ” เครื่องมือแพทย์ กลับมาเป็น “เครื่องสำอาง” แก้ปัญหาสินค้าขาดตลาด) รายงานว่า ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมกราคม 2562 ก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กองควบคุมเครื่องมือแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัย พ.ศ. … หลังพบว่ามีการจดแจ้งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือชนิดล้างไม่ออกที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมาพบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อต่อแอกอฮอล์ อันเนื่องมาจากปริมาณแอลกอฮอล์ที่ใช้เป็นส่วนผสมมีปริมาณต่ำกว่า 70% โดยปริมาตร ทำให้ไม่สามารถฆ่าเชื้อได้ และยังทำให้เชื้อทนต่อแอลกอฮอล์ จึงทำให้เกิดเชื้อดื้อยา เป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขในวงกว้าง
อีกทั้งผู้บริโภคที่นำไปใช้มีความเข้าใจผิดว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ จึงมีการนำไปใช้ตามห้างสรรพสินค้า โรงเรียน หรือโรงพยาบาลเพื่อป้องกันโรคติดต่อต่างๆ เช่น โรคหวัด โรคมือเท้าปาก เป็นต้น โดยที่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ ก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสาธารณสุขมากขึ้น
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงได้กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือชนิดไม่ล้างออกที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ โดยได้ร่างประกาศกระทรวง และเชิญชวนผู้ประกอบการด้านเครื่องสำอางร่วมประชาพิจารณ์ร่างกฎหมาย เรื่อง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัย (Alcohol Gel) ซึ่งเมื่อประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือชนิดไม่ล้างออกที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่จดแจ้งเป็นเครื่องสำอางจะถูกยกเลิก และให้ผู้ประกอบการยื่นขออนุญาตลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่กองควบคุมเครื่องมือแพทย์ โดยอนุญาตเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 70% โดยปริมาตรขึ้นไปเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ประกาศฉบับดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างรอมีผลบังคับใช้ใน 180 วัน ปรากฏว่า เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก และมีความต้องการเจลล้างมือสูงมาก จึงได้ออกประกาศยกเลิกประกาศฉบับดังกล่าว เพื่อเปิดทางให้กลุ่มผู้ผลิตเครื่องสำอางสามารถผลิตเจลล้างมือต่อไปได้